Page 69 - Vacationist Feb17
P. 69
ชุมนุมลับอย่างก่อนก็ตาม เรื่องนี้เจ้าพระยา
ศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) วิตกว่า หากชาวจีน
พากันอยู่เป็นสัปเยกคือคนในบังคับต่างชาติ
มากเท่าใด การปกครองย่อมมีปัญหายุ่งยาก ชาวจีนบ้านสะแกกรัง ได้แก่เจ้าพ่อหลักเมือง ปุนเถ้ากง เจ้าพ่อ
มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จ กวนอู เจ้าแม่ละอองส�าลี ร่วมในพิธีที่มีเจ้าแม่ทับทิม เป็น
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ครอง ประธาน โดยจัดกระบวนแห่ตามประเพณีของชาวจีนคือมี
ราชย์ได้ ๓ สัปดาห์ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง ขบวนเสือไหหล�า ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงของชาวจีนไหหล�าที่
บุนนาค) ผู้ส�าเร็จราชการแผ่นดินจึงประกาศ มีพื้นฐานมาจากวิชามวยพยัคฆ์ จึงไม่นิยมการเชิดสิงโต แต่จะ
ตั้งศาลคดีจีนขึ้นในกรมท่าซ้าย โดยพระยาโชฎึ สร้างรูปหัวเสือมาเชิดแทน จากความเชื่อว่าเสือเป็นสัญลักษณ์
กราชเศรษฐี (จ๋อง) ดูแลชาวจีน ต่อมาวันที่ ของเจ้าพ่อเทพารักษ์ ที่คอยปกป้องภยันตรายมาสู่พี่น้อง
๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๑ จึงได้แต่งตั้งหลวงพิพิธภัณฑ์วิจารณ์ (ฟัก) กับ ชาวจีนไหหล�า โดยมีพิธีหลัก ได้แก่ การเชิญเจ้าเสด็จสรงน�้า
หลวงพิชัยวารี (มะลิ) เป็นผู้พิพากษาศาลคดีจีนขึ้น ท�าให้มีการตั้งศาลเจ้าและมี เปลี่ยนเครื่องทรง เบิกพระเนตร ลุยไฟ พิธีจิ้นเบียว สวดถวาย
พิธีการไหว้เจ้าให้เป็นขนบธรรมเนียมที่ชาวจีนได้มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็น ฎีกาเง็กเซียนฮ่องเต้ บวงสรวง พิธีล้างตลาดและขบวนแห่ที่มี
เครื่องแสดงความสามัคคีและความเชื่อที่จะต้องไหว้เจ้าที่คือแผ่นดินไทย และไหว้ เครื่องประกอบในขบวน ซึ่งมีผ่างคู่ เดงลั๊ง ธงมังกร พระป้าย
บรรพบุรุษเพื่อให้เป็นสิริมงคล และน�ามาซึ่งความสุขความเจริญแก่ครอบครัว ขบวนเสือไหหล�า ขบวนกระถางธูป และเจ้าพ่อเจ้าแม่ของ
จนมีคตินิยมว่าในปีหนึ่งนั้นต้องมีการไหว้เจ้า ๘ ครั้ง คือ การไหว้ครั้งแรกของปี ชาวจีนบ้านสะแกกรัง โดยมีขบวนศาสตราวุธของเซียนทั้งแปด
ในเดือน ๑ วันที่ ๑ เป็นงานตรุษจีน เรียกว่า “ง่วงตั้งโจ่ย” การไหว้ครั้งที่สอง ไหว้ (โบ้ยบ้อ) ป้องกันภยันตรายและบันดาลความเป็นมงคลให้
ในเดือน ๑ วันที่ ๑๕ เรียกว่า “ง่วงเซียวโจ่ย” การไหว้ครั้งที่สาม ไหว้ในเดือน ๓ อยู่เย็นเป็นสุขร่มเย็น อันเป็นสีสันของมงคลทั้งแปดเซียน
วันที่ ๔ เรียกว่า “ไหว้เช็งเม้ง” เป็นประเพณีที่ลูกหลานไปไหว้บรรพบุรุษที่ฮวงซุ้ย ให้ดูแลท้องถิ่นที่มีชาวจีนตั้งถิ่นฐานท�ามาหากินอยู่ตลอดไป
การไหว้ครั้งที่สี่ ไหว้เดือน ๕ วันที่ ๕ เรียกว่า “โหงวเหว่ยโจ่ย” เป็นเทศกาลไหว้ สีสันงานนี้ก็คือการแห่สิงโต แห่มังกร ขบวนนักรบเอ็งกอและ
ขนมจ้าง การไหว้ครั้งที่ห้า ไหว้ในเดือน ๗ วันที่ ๑๕ คือ ไหว้สารทจีนเรียกว่า การต่อตัว ไต่เสาเดี่ยว ที่สร้างสีสันให้ตื่นตาตื่นใจนั่นเอง |
“ตงง้วงโจ่ย” การไหว้ครั้งที่หก ไหว้เดือน ๘ วันที่ ๑๕ เรียกว่า “ตงชิวโจ่ย” ที่
คนทั่วไปรู้จักกันดีว่า ไหว้พระจันทร์ การไหว้ครั้งที่เจ็ด ไหว้เดือน ๑๑ ไม่ก�าหนด
วันแน่นอน เรียกว่า “ไหว้ตังโจ่ย” และการไหว้ครั้งที่แปด ไหว้เดือน ๑๒ วันสิ้นปี
เรียกว่า ไหว้สิ้นปี หรือ “ก๊วยนี้โจ่ย” นอกจากนี้ยังมีการไหว้เจ้าพ่อเจ้าแม่ที่
เคารพกันในแต่ละพื้นที่ซึ่งมีวาระงานไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะบ้านสะแกกรังหรือ
เมืองอุทัยธานี ถือว่าเป็นถิ่นของชาวจีนผู้เดินเรือไปมาค้าขายและตั้งถิ่นฐานเป็น
หลักแหล่งที่บ้านสะแกกรังมาแต่ต้นรัตนโกสินทร์ ดังนั้นในวาระสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๙
และขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๐ นี้ถือเป็นวาระส�าคัญที่ครบรอบ ๑๒ ปีของศาลเจ้าแม่
ทับทิม หรือ ศาลเจ้า จุยบ่วยเนี่ยว ซึ่งเป็นศาลเจ้าของชาวจีนไหหล�าผู้นับถือ “ตุ้ย
บ๋วยเต่งเหนี่ยง” คือเทพธิดาแห่งท้องทะเลที่คุ้มครองผู้เดินทางทางเรือ ที่รู้จักกัน
ทั่วไปว่า “จุยบ่วยเนี่ยว” แปลว่า “เจ้าแม่แห่งชายน�้า” ซึ่งชาวจีนฮกเกี้ยนเรียกว่า
“เทียนส่งเซ่งโบ้” แปลว่า “เจ้าแม่สวรรค์” หรือ “ม่าจ้อโป๋” ถือเป็นเทพธิดาหรือ
เจ้าแม่ที่เคารพบูชาในหมู่ชาวเรือ ชาวประมง ชาวจีนในไทยรู้จักเทพธิดาองค์นี้ดี
ในชื่อ “เจ้าแม่ทับทิม” ด้วยเจ้าแม่มีเครื่องประดับประจ�าองค์เป็นพลอยทับทิม
สีแดง ดังนั้นการแห่ประจ�าปีครั้งส�าคัญนี้จึงมีการอัญเชิญเจ้าพ่อเจ้าแม่ของ
|
February 2017 Vacationist 69
www.VacationistMag.com